THE PURGE : ANARCHY เกมล่าฆ่าไม่ผิด หลังจากที่ประสบความสำเร็จเรื่องรายได้จากภาคแรก(ทุนต่ำ) ผู้สร้างจึงได้รีบส่งภาคต่อภาค 2 มาอย่างเร็วไว (และภาคต่อๆไปด้วย) จุดเด่นของหนังเรื่องนี้ก็คือเน้นเรื่องที่แปลกแล้วกล้าบ้าบิ่นที่จะเขียนบทซึ่งต่างๆจากหนังเรื่องอื่นๆ THE PURGE  เล่าเรื่องของประเทศอเมริกาในยุคอนาคตที่รัฐบาลต่อการจะลดจำนวนผู้ก่ออาชญากรรมจึงจัดให้ปีละหนึ่งวัน (12 ชั่วโมง) ที่เราจะสามารถฆ่าใครก็ได้โดยไม่ผิดกฏหมาย (ล้างบาป) ซึ่งก็มีทั้งคนที่เห็นด้วย (อารมณ์เหมือนเป็นเทศกาล) และไม่เห็นด้วย ภาคนี้บทได้ขยายออกไปไกลขึ้น ว่าไอ้พิธี THE PURGE เนี้ยมันมีกฏอะไรบ้าง จากในภาคแรกหนังจะเล่าของตัวละครที่เตรียมตัวเซฟอยู่กับบ้านพร้อมกับอุปกรณ์ป้องกันที่ทันสมัย แต่ก็ไม่วายโดนคนเข้าไปได้ (ดังนั้นหนังจะวนเวียนอยู่แต่ในบ้าน) แต่สำหรับภาค 2 หนังจะเหล่าถึงตัวละครที่มีเหตุวิสัยที่ต้องติดอยู่ภายนอกที่ปลอดภัย ซึ่งอยู่ในช่วงชั่วโมงแห่งการล้างบาป 

          จากการเล่าเรื่องที่แตกต่างจากภาคที่แล้วนั้นทำให้สเกลของหนังดูใหญ่ขึ้นอย่างเห็นได้ชัด งานของการถ่ายภาพและเอฟเฟ็คถือว่าจัดเต็มกว่าภาคที่แล้ว อีกทั้งยังเพิ่มตัวละครของเรื่องเข้ามาอีกมากมาย แต่หนังก็ไม่อาจเก็บรายละเอียดของตัวละครได้ครบทุกตัว บางตัวที่ดูเหมือนว่าจะมีอะไร ก็กลับไม่มี หรือตัวละครบางตัวอยู่ดีๆก็มีบทบาทขึ้นมาซะงั้น การแสดงของตัวละครนั้นถือว่าผ่านอย่างตัวพระเอกก็ทำให้เราเชื่อว่าเขาคือตำรวจหรือในส่วนตัวละครผู้หญิงและเด็กก็เล่นบทดราม่าได้ดี ถึงแม้จะมีบางตอนที่มันดูเยอะและล้นเพราะบทที่ยัดเข้ามาก็ตามสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยและเสน่ห์ของหนังเรื่องนี้นั้นก็คือการแหนบแหนมเสียดสีสังคมในเรื่องนี้ก็ยังมีอยู่และดูมากขึ้นมากกว่าเดิม จากที่ภาคแรกเงินสามารถซื้อความปลอดภัย แต่สำหรับภาคนี้เงินสามารถซื้อชีวิตของคนๆหนึ่งเพื่อการล้างบาป และอะไรต่อมิอะไรอีกมากมาย หนังแสดงให้เห็นถึงสันดานดิบของมนุษย์ได้เป็นอย่างดี ความเห็นแก่ตัวที่มีอยู่ในตัวของมนุษย์ทุกคนและการเอาตัวรอดในยามคับขัน 

          THE PURGE : ANARCHY นับว่าเป็นหนังระทึกขวัญบวกกับดราม่าเสียดสีสังคม ที่จิกกัดออกมาอย่างโต้งๆ ถึงแม้ว่าบทของภาคนี้จะมีช่วงโหว่งอยู่บ้างเพราะหนังเลือกยัดเนื้อหาเข้าไปจนล้น จนเกิดพอดี แต่ซึ่งที่เกิดขึ้นมามันก็คือเรื่องจริงของมนุษย์ ความเห็นแก่ตัว การเอาตัวรอด ของมนุษย์ ซึ่งทำให้เราเครียดและลุ้นไปทั้งตลอดจนจบเรื่อง ซึ่งเปรียบเสมือนกับว่าเราเข้าไปอยู่ในคืนที่แสนยาวนานในคืนล้างบาปจริงๆ