ตำนาน แวมไพร์ (Vampire)
2015-01-22 11:36:00

ภูตพรายกระหายเลือด

ในหนังหรือในหนังสือนิยาย คนไทยเราได้รู้จักแวมไพร์ในฐานะของผีดูดเลือดที่มีอายุหลายร้อยปีแต่ยังดูหนุ่มดูสาวและมีชีวิตอมตะ แต่หลายคนอาจยังไม่รู้ว่า ตำนานแวมไพร์นั้นเขาว่าเป็นเรื่องจริงที่เคยเกิดขึ้นมา

 

ในอดีตกาล มิใช่เป็นเพียงเรื่องแต่งขึ้นมาเพื่อความบันเทิงอันน่าสะพรึงกลัวเท่านั้น ความเชื่อในเรื่องแวมไพร์มีมาตั้งแต่สมัยโบราณมาก ๆ เริ่มจากในอาณาจักรเปอร์เชียโบราณซึ่งมีการขุดค้นพบเหยือกเก่าใบหนึ่งภาพที่ปรากฎบนเหยือกนั้นช่างน่าสะพรึ่งกลัวยิ่งนัก เพราะเป็นภาพคนกำลังดิ้นรนต่อสู้กับสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ที่พยายามจะดูดเลือดเขา!

 

บางตำนานเล่าว่า มีเทพีองค์หนึ่งชื่อ “ลิลิธ” เป็นเทพผู้หญิงที่ชอบดื่มเลือดของเด็กทารกเพื่อให้นางยิ่งมีความอมตะแบบหาที่สุดไม่ได้ ในจำรึกที่เป็นภาษาฮิบรูในพระคัมภีร์ฉบับเก่าเล่าว่า เทพีนางนี้เป็นภารรยาคนแรกของอาดัม ต่อมาก็ทิ้งอาดัมไปเป็นราชินีของมารซาตาน แวมไพร์ในประวัติศาสตร์จีน อินเดียมาเลเซีย โพลีนีเซียก็มีเช่นกัน ในเรื่องราวเกี่ยวกับผีดิบ หรือผู้ที่กลับคืนมาจากความตาย ที่มาที่ไปของแวมไพร์ที่มีผู้อ้างอิงกันมาก

 

ที่สุดเป็นตำนานที่บันทึกไว้ว่า เริ่มมาจากสมัยยุคกรีกโบราณตอนต้น ๆ แวมไพร์กลายร่างมาจากพวกเทพีบางพวกที่ชอบอาศัยรูปกายของมนุษย์ในการไปล่อลวงเหยื่อ แต่สมัยแรก ๆ นั้นยังไม่ใช้ผีดิบ แต่มาเกิดขึ้นเมื่อคริสต์ศาสนาเริ่มเป็นที่ยอมรับในยุคสมัยต่อมา เกิดจากความเข้าใจผิดเรื่อง เลือดและเนื้อ ของพระเยซูคริสต์ เนื่องจากว่า ส่วนหนึ่งของพิธีศีลมหาสนิทที่ให้ดื่มไวน์แดงซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของโลหิต ของพระเยซูและการกินขนมปังซึ่งหมายถึงเนื้อ ซึ่งพวกที่ตีความผิด และพวกที่ไม่นับถือ พระเจ้าก็ได้พิธีกรรมกินเลือดและเนื้อของมนุษย์จริง ๆ ในศตวรรษที่ 11 สมัยนั้นชื่อกันว่าเลือดของสาวพรหมจรรย์มีคุณสมบัติในการรักษาโรค และสมัยนั้นยังมีความเชื่อบางอย่างเช่นว่า คนป่วยที่ตายโดยปราศจากพิธีรับศีล คนที่ฆ่าตัวตายหรือคนที่ถูกขับไล่ออกจากคริสต์ศาสนาจะกลับมายังโลกนี้อีกครั้งในฐานะของผีดิบ หรือแวมไพร์นั่นเอง!

 

ความหวาดกลัวแวมไพร์ได้เกิดขึ้นอย่างจริงจัง ในกลางศตวรรษที่ 15 อันเนื่องมาจากคดีของชาวฝรั่งเศส Gilles de Rais อดีตนายพลเก่าหลังจากเกษียณเขาได้ไปอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของฝรั่งเศสเพื่ออุทิศตัวให้กับการค้นคว้าความลับของหินบางชนิด เขาใช้วิธีการทรมานฆ่าเด็ก ๆ กว่าสามร้อยคนเพื่อนำเลือดมาใช้ในการทดลอง ต่อมาในศตวรรษที่ 19 ได้มีผู้นำเรื่องของเขาไปเขียนโดยเล่าว่าเขาเป็นแวมไพร์

 

ยุคนั้นมีการพบว่าตอนดึกดื่น ถ้าใครออกไปเตร็ดเตร่นอกบ้านก็จะถูกจับกัดและดูดเลือดกิน แต่ต่อ ๆ มาเรื่องราวของแวมไพร์ก็ถูกเล่าถึงน้อยลง จนกระมั่งในปี ค.ศ. 1611 ที่ฮังการี ท่านผู้หญิงอลิซเบธถูกกล่าวหาว่าลักพาตัวเด็กสาวจำนวนหนึ่งไปทรมานจนถึงแก่ความตายเพื่อนำเลือดสด ๆ ของเด็กสาวเหล่านั้นมาอาบและดื่มกินด้วยความเชื่อที่ว่าเลือดจะช่วยคงความสาวของเธอเอาไว้และทำให้เธอสวยงามคงกระพัน

 

เคาน์เตสผู้นี้เป็นภรรยาของท่านเคาน์ที่ต้องออกจากบ้านไปรบที่ต่างเมืองเป็นเวลาแรมปี ท่านผู้หญิงจึงใช้เวลาว่างไปกับการศึกษาไสยศาสตร์มาตร์ดำต่าง ๆ จนนำไปสู่การกระทำอาชญากรรมอันน่าสยดสยองเหล่านั้นนั่นเอง เมื่อสารภาพแล้วเธอไม่ได้ถูกประหารเพราะมีชนชั้นบรรดาศักดิ์ แต่ก็ได้ถูกขังตลอดชีวิตอยู่ในหอคอยที่ปิดตาย มีความเชื่อที่น่าสนใจอีกเรื่องหนึ่ง คือ การค้นหาหลุมศพของแวมไพร์นั้น จะต้องกระทำโดยให้สาวพรหมจรรย์ขี่ม้าที่ยังเป็นพรหมจรรย์สีขาวปลอด หรือสีดำสนิท ขี่เดินไปทั่ว ๆ สุสาน ถ้าม้ายกขาหน้าทะยานขึ้น ก็แสดงว่ามันพบกับหลุมศพของแวมไพร์เข้าแล้ว

 

ในบัลแกเรีย มีตำนานพื้นบ้านเก่าแก่ที่เล่าขานกันมากกว่าตำนานใด ๆ เป็นเรื่องเล่าเกี่ยวกับแวมไพร์ผีดิบที่ลุกขึ้นมาจากหลุมฝังศพนี้มีรูปร่างหน้าตาเหมือนกับมนุษย์ที่ยังมีชีวิตอยู่ทุกอย่าง ด้วยลักษณะดังกล่าว แวมไพร์จึงสามารถย้ายไปอยู่ในที่ที่ไม่มีใครรู้จักตนมาก่อน โดยมีผิวขาวซีดกว่าตอนที่ยังมีชีวิตอยู่บาดแผล หรือร่องรอยอาการบาดเจ็บที่ได้รับเมื่อเป็นมนุษย์จะหายไปเมื่อเขาเปลี่ยนเป็นแวมไพร์

 

แวมไพร์ที่แข็งแรงนั้นมีความเร็วและพละกำลังมากกว่ามนุษย์ธรรมดาที่มีสุขภาพดี มีปฏิกิริยาตอบรับมีประสาทสัมผัสที่รวดเร็ว เมื่อแวมไพร์มีอายุมากขึ้น ความแข็งแกร่ง ความเร็ว ความทรหดอดทน และประสาทสัมผัสของแวมไพร์ก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นไปอีก พวกแวมไพร์ดำรงชีวิตปะปนกับมนุษย์ธรรมดาได้โดยที่ไม่มีใครรู้ ตอนกลางวันแวมไพร์ก็ใช้ชีวิตเหมือนคนธรรมดาทั่วไป แต่จะออกทำร้ายมนุษย์ในเวลากลางคืน

 

นอกจากนี้แวมไพร์ยังมีทักษะเหนือธรรมชาติอีกหลายอย่าง โดยคุณสมบัติที่เป็นที่รู้จักกันดีที่สุดข้อหนึ่งก็คือการมีมนตร์สะกดดึงดูดใจของมนุษ์ ความน่าดึงดูดใจของแวมไพร์เป็นรูปแบบหนึ่งของการสะกดจิตที่แวมไพร์ทำกับมนุษย์โดยใช้การจ้องตา และใช้เสียงเพื่อสะกดให้ทำตามที่ตนต้องการ มนตร์สะกดแบบนี้ใช้ไม่ได้ผลกับแวมไพร์ด้วยกันเองหรือสิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติชนิดอื่น แวมไพร์บางตนยังสามารถลอยขึ้นไปในอากาศ เหาะหรือใช้โทรจิตได้ด้วย

 

แวมไพร์ต้องนอนตอนกลางวันเพื่อหลบจากแสงแดด แวมไพร์ที่มีอายุเยอะเท่านั้นที่สามารถตื่นอยู่ตอนกลางวันได้ แต่ก็จะทำให้ร่างกายอ่อนแอมาก แวมไพร์ที่พยายามจะตื่นในตอนกลางวันนั้น ถึงแม้ว่าจะอยู่ในห้องปิดที่ไม่มีแสงอาทิตย์ส่อง ร่างกายก็ยังอ่อนแอลงอยู่ดี ทั้งยังทำให้มีเลือดไหลออกมาอีกด้วย นอกจากนี้ แวมไพร์ยังไม่จำเป็นต้องขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย แวมไพร์ไม่สามารถดื่มกินอาหารของมนุษย์ธรรมดาได้ แต่ต้องดื่มเลือดของมนุษย์หรือสัตว์ หรือเลือดผสมของทั้งสองอย่างซึ่งรสชาติไม่ค่อยดี เลือดของมนุษย์มีรสชาติดีที่สุดส่วนเลือดของสัตว์ก็ดื่มได้แต่ก็อาจทำให้สุขภาพจิตของแวมไพร์ไม่ดีเท่าไหร่นัก

 

แวมไพร์ที่ไม่ได้ดื่มเลือดมาเป็นเวลานานจะมีความกระหายเลือดเป็นอย่างมากและจะมีอาการคลุ้มคลั่งดูดเลือดสิ่งมีชีวิตทุกอย่างที่ตนพบเก็น แวมไพร์ไม่ตายจากการขาดเลือด แต่อาจจะควบคุมตัวเองไม่ได้หรือคลุ้มคลั่ง พวกนี้จะมีอาการครั่นเนื้อครั่นตัวหากไม่ได้ดื่มเลือดเป็นเวลานาน และจจะอ่อนแอลงอีกด้วย ศพที่เพิ่งตายใหม่ ๆ และเลือดของสาวงามเป็นที่ชื่นชอบของแวมไพร์ ส่วนเลือดของผู้หญิงบ้านั้นเป็นพิษ

 

แวมไพร์ต้องฆ่าและดูดเลือดจากมนุษย์จนเลือดหมดตัว จากนั้นจึงถ่ายเลือดบางส่วนของแวมไพร์เข้าไปในตัวมนุษย์คนนั้น จากนั้นทั้งแวมไพร์เข้าไปในตัวมนุษย์คนนั้น จากนั้นทั้งแวมไพร์และมนุษย์ที่ถูกดูดเลือดจะต้องนอนบนพื้นเป็นเวลา 2-3 คืนจนกระทั่งมนุษย์คนนั้นกลายเป็นแวมไพร์ตนใหม่ แวมไพร์เกิดใหม่จะกระหายเลือดเป็นอย่างมากและต้องได้ดื่มเลือดภายในเวลาอันรวดเร็ว แวมไพร์ใหม่ต้องอาศัยอยู่กับแวมไพร์ที่เป็นผู้ให้กำเนิดเป็นเวลาสักระยะหนึ่งเพื่อเรียนรู้การใช้ชีวิตแบบแวมไพร์

 

พวกนี้จะสูญเสียการควบคุมตัวเองได้ง่ายเนื่องจากยังไม่ชินกับการเป็นแวมไพร์และก่อให้เกิดปัญหายุ่งยากได้ ดังนั้นจึงต้องทิ้งชีวิตสมัยยังเป็นมนุษย์ของตนเองไว้เบื้องหลังเพราะแวมไพร์ที่ยังไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ดีนั้นมีแนวโน้มที่จะไปทำร้ายคนในครอบครัวตนเองหรือเพื่อนฝูงได้ ในระยะแรก แวมไพร์เกิดใหม่ต้องอยู่ในความดูแลและเชื่อฟังคำสั่งของแวมไพร์ที่เป็นผู้ให้กำเนิด จากนั้นจึงปล่อยให้เป็นอิสระอยู่ด้วยตนเองได้ แต่จะกลับมาหาผู้ให้กำเนิดได้ด้วยเช่นกัน

 

ในยุคนั้น ศพที่ต้องสงสัยว่าเป็นแวมไพร์จะถูกฝังด้วยการตอกตะปูลงบนหน้าผากศพเพื่อเป็นการสะกดไว้ไม่ให้ฝื้นกลับมา จากนั้นก็จะละเลงไขมันหมูให้ทั่วร่างหรือใส่กระเทียมเข้าไปในปากศพ พิธีกรรมเหล่านี้หายไปเมื่อยุโรปเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรมและยุคของการใช้เหตุผล ตำนานแวมไพร์และสิ่งมีชีวิตหลังความตายอื่น ๆ ค่อย ๆ สูญหายไป

 

 

Credit : PaiLin

By Admin Park


Admin :
view
:
9120

Post
:
2015-01-22 11:36:00


ร่วมแสดงความคิดเห็น