คุณเคยนึกไหมว่า ถ้าพูดถึงแม่มดจะนึกถึงอะไร ? นึกถึงความน่ากลัว หรือว่าภาพของแม่มดที่กำลังก้มหน้าก้มตาดูหม้อยาขนาดใหญ่อยู่ หรือจะนึกถึงเงาของผู้หญิงแก่สวมหมวกปลายแหลมขี่ไม้กวาดอยู่บนฟ้ากลางพระจันทร์กันละครับ

จุดเริ่มต้นของคำว่า “Witch (แม่มด)” มาจากไหนกันล่ะเนี่ย ? ถ้ามองในแง่ประวัติของความหมายแล้วล่ะก็ มันก็จะมีศัพท์ภาษาอังกฤษในสมัยโบราณคำนึงว่า “Wicce (ผู้มีอำนาจวิเศษ)” แต่ถ้ามองย้อนไปไกลกว่านั้น จนถึงจุดกำเนิดคำในสมัยอินโดยุโรปและเยอรมนี ก็จะพบว่ายังมีอีกหลายทฤษฏีที่อาจจะมาจากรากศัพท์คำว่า “Weik (ทำให้งอหรือพับ)” และ “Weid (มองเห็นหรือรับรู้)” ซึ่งความหมายโดยนัยของอำนาจเหนือธรรมชาติ และเชื่อว่าคำเหล่านี้ได้ถูกแปลงไปเป็นคำศัพท์ภาษาอังกฤษในสมัยโบราณ และหลังจากนั้นภาษาอังกฤษสมัยใหม่ก็ได้เปลี่ยนเป็นคำว่า “Witch” แทน คำศัพท์คำนี้จึงถือว่าเป็นการนำคำหลาย ๆ คำมารวมกันให้เป็นคำเดียวเพื่อใช้เรียกคนที่มีความสามารถที่พิจารณาแล้วว่าเหนือคนปกติทั่วไป

ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา มีเรื่องเข้าใจผิดเกี่ยวกับแม่มดเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก และหนึ่งเรื่องที่เลวร้ายที่สุดก็คือ ความเชื่อที่ว่าแม่มดเป็นปิศาจร้ายที่สมควรถูกแขวนคอหรือเผาให้ไหม้เกรียมเป็นเถ้าถ่าย ซึ่งการทรมานแม่มดนั้นเกิดขึ้นทั้งในยุโรปและในอาณานิคมที่กลายมาเป็นประเทศสหรัฐอเมริกาในปัจจุบัน

ณ ช่วงศตวรรษที่ 15 - 17 ได้ถือว่าแม่มดเป็นภัยคุกคามต่อศาสนาคริสต์เลยทีเดียว ความหวาดกลัวของประชาชนและภาพพจน์ในด้านลบของแม่มดนั้นได้ถูกขยายไปสู่วาระที่ซ่อนเร้นมากมาย และนำไปสู่การใช้กำลังทำลายผู้คนที่ไม่เคยแม้แต่จะฝึกในสิ่งที่พวกเขาถูกกล่าวหาเลยสักนิดเดียว

กาลเวลากว่าหลายศตวรรษที่คริสตศาสนิกชนได้หันหน้าเข้าหาคัมภีร์ไบเบิลและประณามการใช้เวทมนตร์คาถาทั้งหลายทั้งปวงของแม่มด ซึ่งมีข้อความในพระคัมภีร์ทั้งเล่มที่ 2 และเล่มที่ 6 นั้นก็ยิ่งแสดงให้เห็นถึงความขัดเคืองของพระเจ้าที่มีต่อบรรดาแม่มดและพ่อมดหมอผีทั้งหลาย แต่ถ้ามองย้อนกลับไปอ่านคัมภีร์เล่มอื่น ๆ ที่คนอียิปต์ กรีก และโรมันในสมัยโบราณได้เขียนขึ้น ก่อนที่จะมีคัมภีร์ไบเบิลก็จะพบว่าเรื่องราวกลับเป็นตรงกันข้ามกัน ในนั้นได้เขียนไว้ว่าบุคคลใดก็ตามที่ได้รับพรนี้จากเทพเจ้าสมควรจะได้รับการชื่นชม มิใช่การถูกประจาน

พลังต่าง ๆ ของแม่มดนั้นรวมไปถึงการแปลงร่าง การมองเห็น อีกทั้งความสามารถในการปรุงยาเสน่ห์และยาอายุวัฒนะ ซึ่งเป็นความสามารถที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ทั้งลักษณะทางกายภาพและอารมณ์ เชื่อกันว่าคนที่เกิดมามีพรสวรรค์เช่นนี้ จะสามารถใช้มันในทางที่เกิดประโยชน์หรือเกิดโทษก็ได้ ดังนั้นใครที่มีพลังเหล่านี้ ล้วนจะได้รับความเคารพยกย่อง

แม่มดแต่ละคนนั้นแตกต่างกัน ขึ้นอยู่ที่ว่ามาจากส่วนไหนของโลก และยังมีหลายชื่อที่ใช้เรียกแม่มดซึ่งปกติแล้ว ก็จะแปลความหมายออกมาเป็นสิ่งเดียวกัน ซึ่งใครที่มีความรู้กว้างขวางและมีความสามารถหลากหลาย เช่น การเล่นแร่แปรธาตุ การกลายร่าง ความรู้ในเรื่องสมุนไพร การใช้ธรรมชาติบำบัด และก็แน่นอนว่าการร่ายเวทมนตร์ หรือ คาถาที่มุ่งเน้นให้บางสิ่งเกิดขึ้นมา แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้สามารถทำให้เกิดโทษหรือเกิดประโยชน์ก็ได้ แต่ทะว่าการที่เราใช้ความสามารถในส่วนนี้ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอันใดก็ตาม ผู้ใช้จะต้องจ่ายบางสิ่งบางอย่างเพื่อเป็นค่าแลกเปลี่ยนกับสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น ๆ

เคยเกิดคำถามนี้กันไหมล่ะครับ ว่าแม่มดที่จริงแล้วดีหรือไม่ดี ? ก็ตามที่ในนิยายปรัมปราส่วนใหญ่ ก็มักจะพูดถึงแม่มดในทางชั่วร้าย เชื่อถือไม่ได้ ไม่มีความซื่อสัตย์ หลอกลวง ร้ายกาจ และดูเป็นบุคคลอันตรายไปในที่สุด ในบางความเชื่อไม่ถือว่าพวกเธอเป็นมนุษย์เสียด้วยซ้ำไป ถ้าไม่ได้เป็นปิศาจชั่วร้ายโดยธรรมชาติแล้ว แม่มดก็น่าจะต้องถูกปิศาจหรือวิญญาณชั่วร้ายเข้าสิงอย่างแน่นอน และอาจจะมีผู้ชายและผู้หญิงปกติธรรมดาที่อยากเรียนรู้การใช้เวทมนตร์เพื่อจุดประสงค์ในการทำร้ายผู้อื่น

คนพวกนั้นบางทีอาจจะเรียกได้ว่าเป็นหมอผีมากกว่าพ่อมดหรือแม่มด ในธรรมเนียมปฏิบัติของทางแถบแอฟริกานั้นจะมีการแยกแยะ ผู้มีเวทมนตร์ฝ่ายดี หรือ พ่อหมอ และผู้มีเวทมนตร์ฝ่ายร้าย หรือ หมอผี ซึ่งคนทั้งสองแบบนั้นก็แตกต่างจากแม่มดที่ไม่ใช่มนุษย์ในช่วงกลางของยุโรปความเชื่อเรื่องแม่มดนั้นแพร่ขยายไปกว้างขวางมาก

แม่มดนั้นถูกเรียกว่าเป็นผู้ที่นับถือซาตาน และผู้หญิงหลายพันคนกับผู้ชายบางคนต้องถูกทรมานและถูกประหารชีวิตหลังจากที่ถูกกล่าวหาว่าใช้เวทมนตร์คาถา คนอังกฤษที่มาตั้งถิ่นฐานอยู่ที่อเมริกาเหนือได้นำเอาความกลัวแม่มดติดตัวไปด้วย การล่าแม่มดในซาเล็ม รัฐแมสซาชูเซตส์ ในปี 1692 ยังส่งผลให้มีการประหารชีวิตผู้คนไปถึง 19 คน และแม้แต่ในปัจจุบัน ในบางพื้นที่ก็ยังมีข้อกล่าวหาเกี่ยวกับเรื่องราวการใช้เวทมนตร์ ที่เป็นสาเหตุนำไปสู่การฆ่ากันตายเพราะความหวาดระแวงอีกด้วย

Credit : yamsayong

By Admin Park