ตำนานคือความจริง
2014-07-25 13:48:48

          "ตำนาน" ส่วนมากน่าจะมีเค้าความจริงอยู่บ้าง แต่ผ่านการบอกเล่าแบบปากต่อปากมาหลายต่อหลายทอด จึงอาจดูเกินจริงไปบ้างเพราะผ่านการใส่สีใส่ไข่บางทีถึงกับมีอภินิหารซะมากมายจนบางคนที่ไม่เชื่อเรื่องนี้ก็ไม่เชื่อต่อไป

          แต่ถ้าลองค้นคว้าดู... ก็จะพบว่ามีเค้าโคลงความจริงอยู่ ไม่มากก็น้อยและต่อไปนี้คือ 4 เรื่องที่ตำนานที่มาจากเรื่องจริง

 

 

1. เฟาสท์ (Faust)

 

 

          Faust เป็นตัวละครเอกในนิยายเร้นลับโด่งดังของนักเขียนเยอรมันชื่อ โยฮันน์ โวล์ฟกัง ฟอน เกอเธบทละครอมตะของโลก ซึ่งจัดเป็นวรรณกรรมชิ้นเอกของเยอรมันที่มีความสำคัญเทียบเท่ากับงานของกวีโลก เช่น โฮเมอร์ ดันเต้ และเชคสเปียร์

 

          เรื่องราวเกี่ยวกันเฟาสท์ ได้มีการเล่าขานเป็นตำนานพื้นบ้านที่น่าตื่นเต้นที่มีสีสัน เนื้อหาสำคัญอยู่ที่ว่า เฟาสท์เป็นเหมือนศาสดาผู้มีความรู้ทั้งทางวิทยาศาสตร์ เป็นเรื่องราวของชายผู้มีความรู้ท่วมตัว และทะเยอทะยานที่ไม่มีที่สิ้นสุด วันหนึ่งโชคชะตาชักนำให้เขาพบกับเมมฟิสโต้ (Mephistopheles) ปีศาจ ผู้สงสัยในอำนาจของพระเจ้า และเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนจะมีชีวิตที่ดีกว่าที่เป็นอยู่ หากไม่หลงเชื่อในภาพลวงตาแห่งสวรรค์ ที่พระเจ้าเสกสรรปั้นแต่งขึ้น ท่ามกลางสถานการณ์คับขันที่ต่างฝ่ายต่างมีภารกิจที่จะต้องสนองตัณหาของตนเอง เฟาสท์จึงยอมขายวิญญาณให้แก่เมฟิสโต้เพื่อ แลกกับความเป็นหนุ่มอีกครั้งและนี่คือจุดเริ่มต้นของโศกนาฏกรรม

 

 

          เฟาสท์นั้นเป็นบุคคลที่มีชีวิตจริงอยู่ในศตวรรษที่ 16 มีอีกชื่อหนึ่งคือ ดร.เฟาสต์ (Dr. Faust) เป็นผู้ศึกษาด้านเวทมนต์อำนาจมืด แน่นอนว่าเขาถูกกล่าวหาว่าคบหากับซาตาน

 

 

2. โบกีย์แมน (Bogeyman)

 

 

          Bogeyman หรือบูกี้แมน มีที่มาและมีอยู่หลายชื่อ เพราะมันปรากฏตัวทั่วโลก เช่น boeman (เดนมาร์ก), buse (นอร์เวย์), bòcan, púca, pooka or pookha (Irish Gaelic), pwca, bwga or bwgan (เวลล์), puki (Old Norse), pixie or piskie (Cornish), puck (อังกฤษ), bogu (Slavonic), buka (Russian)

 

          โดยมันจะเป็นเป็นผีหรือปีศาจที่มีความโหดร้านเลือดเย็น แต่โบกีย์แมนกลับไม่มีตัวตนจริงๆ เนื่องจากมันสามารถเปลี่ยนรูปร่างต่างๆ ได้ และผ่านเข้าไปได้ทุกๆ ที่ บางทีอาจเป็นเพียงธุลีปลิวเข้าทางช่องหน้าต่างหรือรูกุญแจ บางทีอาจเป็นเงารางๆ แล้วมันยังสามารถฆ่าคนได้ เพราะมีความเชื่อว่ามันคือพวกฆาตกรต่อเนื่องหรือซีเรียล คิลเลอร์ที่ก่อคดีฆาตกรรมมากมายนั้นเป็นโบกีย์แมนนั้นเอง และโบกีย์แมนยังถูกใช้เป็นเครื่องมือในการที่พ่อแม่หรือผู้ใหญ่จะเอาไว้หลอกเด็กๆ ให้เกิดความกลัวเวลาเล่นซนในตอนกลางคืน

 

 

          แน่นอนว่างานนี้โบกีย์แมนนั่นมาจากเรื่องจริง แต่อยู่ในแถบเกาะชวาหรือมาเลเซีย ซึ่งชาวอังกฤษเข้ามายึดครองพื้นที่แถบนี้ โดยโบกีย์แมนนั้นมาจาก บูกีส(Bugis) ที่เป็นโจรสลัดในแถบนั้น มีความโหดร้าย ปล้นฆ่านักเดินทางอยู่ในย่านนั้น สร้างความหวาดกลัวเป็นอันมาก จนมีคำขู่กับลูกเรือที่นอกลู่นอกทางกันว่า “เดี๋ยวบูกิสจะมาเอาชีวิต” จนกระทั้งความหวาดกลัวที่มีต่อบูกิสติดตามมายังอังกฤษ แล้วกลายเป็นตำนานที่น่ากลัวไปในที่สุด

 

 

3. หนอน แลมบ์ตัน (Lambton Worm)

 

 

          หรือมังกรไวร์ม (Wyrm Dragon) เป็นเรื่องเล่าในสมัยกลาง ว่ากันว่าเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับครอบครัวจอห์น แลมบ์ตัน (John Lambton) ที่เดอร์แฮม ตอนกลางของอังกฤษ ในวันอาทิตย์สัปดาห์หนึ่ง จอห์น แลมป์ตัน เมื่อยังเป็นวัยรุ่นได้หลบหนีการไปโบสถ์ โดยออกไปตกปลาในแม่น้ำแวร์ใกล้ๆ

กับที่ดินของเขา และระหว่างที่เขากำลังเตรียมเบ็ดนั้นเองก็มีชายแก่คนหนึ่งปรากฏตัวแล้วทักว่าเขาไม่ควรหลบการไปโบสถ์มาตกปลาเช่นนี้

          เพราะจะทำให้เกิดโชคร้าย แต่แลมบ์ตันก็ไม่ใส่ใจ เขาตกปลาต่อไปจนตกได้ปลาไหลตัวหนึ่ง (บางทีก็บอกว่าหนอน) มันตัวไม่ใหญ่นัก แต่มีความยาวราว 3 ฟุต มันไม่เหมือนปลาไหลทั่วๆ ไป ลำตัวของมันมีรู 9 รู ในแต่ละข้าง หน้าตาคล้ายกิ้งก่า และมันมีขาด้วยจึงดูคล้ายงูมีขา เขาจึงนำมันกลับบ้าน แต่แล้วเวลาต่อมาเขาก็คิดว่ามันน่าเกลียดเกินที่จะเลี้ยงหรือกินมัน เขาเลยโยนมันลงในบ่อน้ำใกล้บ้าน

          ในระหว่างที่ทิ้งเจ้าตัวประหลาดลงบ่อนั้น ก็ปรากฏร่างของชายแก่คนเดิมกลับมาพูดกับเขาอีกว่า สิ่งที่เขาจับได้แล้วทิ้งลงไปนั้นเป็นปีศาจร้าย มันจะกลับมาสร้างความเดือดร้อนแก่เจ้าอีก

 

บริเวณที่จอห์นโยนหนอนทิ้ง

 

          เวลาผ่านไปจอห์นก็โตเป็นหนุ่ม เขาลืมเหตุการณ์นี้ไปเสียสิ้น ต่อมาเขาอาสาออกรบในสงครามครูเสด ระหว่างที่เขาไปครูเสดอยู่นั้น เจ้าสัตว์ร้ายที่ทิ้งลงบ่อเกิดอาละวาด เพราะมันเจริญเติบโตในบ่ออย่างรวดเร็วจนกลายเป็นสัตว์ยักษ์รูปคล้ายคล้ายหนอนมีขา มันออกมาทำลายข้าวของและกินพืชไร่ของชาวบ้านแถบนั้นทั้งหมด

          ตัวของมันใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนครอบคลุมเนินเขาลูก ที่แห่งนั้นเรียกกันว่าเนินตัวหนอน มีผู้กล้าและอัศวินมากมายพยายามจะฆ่ามัน แต่ฆ่ามันทำไหร่ก็ไม่ตาย เพราะเมื่อตัดตัวมันออก มันก็กลับมาเชื่อมต่อกันใหม่ จนชาวบ้านล้มตายเพราะหนอนกัดกิน

 

          หลังจากนั้น 7 ปีผ่านมา จอห์น แลมบ์ตันก็กลับมาจากครูเสดอย่างวีรบุรุษ ชาวบ้านก็มาขอร้องให้ฆ่าหนอนเสีย แลมบ์ตันเลยวางแผน โดยหลอกล่อเจ้าหนอนยักษ์ลงไปที่มันขึ้นมาคือ แม่น้ำแวร์ แล้วตัดหนอนออกเป็น 3 ท่อน ซึ่งทำสำเร็จโดยความช่วยเหลือแม่มดนางหนึ่ง โดยแม่มดบอกว่าหลังจากฆ่าหนอนแล้ว แลมบ์ตันจะต้องฆ่าสิ่งมีชีวิตที่เห็นโดยทันทีไม่เช่นนั้นครอบครัวจะโดนคำสาป 9 ชั่วคน

 

 

          แต่แลมบ์ตันไม่คิดว่าสิ่งมีชีวิตนั้นคือพ่อของเขาเอง ซึ่งพ่อของแลมป์ตันเมื่อได้ข่าวว่าเขาฆ่าหนอนได้แล้ว เขาจึงรีบรุดออกจากปราสาทมาหา จอห์น แลมบ์ตัน ทันที เมื่อจอห์นเห็นบิดาเป็นสิ่งมีชีวิตแรกที่เขาเห็น จอห์นทำไม่ได้ เขาไม่สามารถกระทำปิตุฆาตจึงตัดสินใจหักดาบทิ้ง แล้วนั้นเองจึงกลายเป็นคำสาปที่บังเกิดกับครอบครัวแลมป์ตัน 9 ชั่วคน ที่ไม่มีใครในตระกูลตายอย่างสงบหรือแก่ตายบนเตียงทั้งหมดล้วนตายในสนามรบแลตายที่สถานที่อื่นๆ ต่างถิ่นทั้งสิ้น

 

 

          สิ่งที่เชื่อได้ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงนอกจากจอห์น แลมบ์ตันจะมีตัวตนจริงๆ แล้ว สถานที่ที่เรียกว่าเนินหนอน(Worm Hill) นั้นก็มีอยู่จริง มันตั้งอยู่ที่ Fatfield, Washington

 

 

4. The Pied Piper of Hamelin

 

 

          The Pied Piper of Hamelin หรือคนเป่าปี่ ปรากฏในนิทานพื้นบ้านของเยอรมันที่เล่าโดยสองพี่น้องกริมม์ เรื่องมีอยู่ว่ากาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว...

 

          ที่เมืองฮาเอลินในภาคกลางของเยอรมัน ปี ค.ศ.1248 ได้ถูกกองทัพหนูเข้าก่อกวนโดยเดือดร้อนไปทุกบ้าน พวกมันแพร่พันธุ์เป็นจำนวนมาก แล้วกัดแทะเสบียงอาหาร อีกทั้งพวกมันยังเป็นพาหะนำโรคร้ายมาอีกด้วย แม้แต่แมวก็ยังต้องหนีเพราะหนูมีจำนวนมากมายมหาศาล ถึงขนาดจะเข้ามารุมทำร้ายแมวเสียด้วยซ้ำไป

          บรรดาชาวเมืองรับไม่ได้กับเหตุการณ์เหล่านี้ต่างหาทางกันกำจัดพวกหนู โดยพากันออกเงินจนได้ก้อนหนึ่งเพื่อให้เป็นรางวัลแก่ผู้ที่จะมาปราบหนูเหล่านี้ได้ จากนั้นก็มีคนต่างเมืองเดินทางมาที่นี่และรับอาสากำจัดหนูให้ แต่จนบัดนี้ก็ไม่มีใครอาสามาปราบฝูงหนูเหล่านี้เลย

          และในยามนี้เองก็มีชายลึกลับผู้หนึ่งพร้อมกับปี่ที่เครื่องดนตรีคู่กายของเขาปรากฏตัว เขาอาสาจะปราบหนูให้ชาวเมืองแห่งนี้ และชาวเมืองก็ให้คำสัญญาว่าจะให้สิ่งตอบแทนใดๆ ก็ได้ตามที่เขาต้องการ

          เมื่อตกลงกับชาวเมืองเรียบร้อย ชายประหลาดก็หยิบปี่ถุงออกมาและเป่าเพลงที่แปลกประหลาด พร้อมกับออกเดินไป ท่ามกลางสายตาสงสัยของชาวเมืองนั้นเอง กองทัพหนูทั้งหลายก็ออกมาจากที่ซ่อนจากบ้าน จากโบสถ์ ทุกหนทุกแห่งจนกลายเป็นขบวนแถวยาวเมื่อได้ฟังเพลงจากปี่ของเขาอย่างหลงใหล แล้วคนประหลาดคนนั้นก็เริ่มเดินตรงออกจากหมู่บ้านพร้อมกับกองทัพหนูที่วิ่งตามหลังเขา จนไปถึงแม่น้ำเวเซอร์ที่ไหลผ่านหมู่บ้านแห่งนี้  ชายนักเป่าปี่ก็หยุดยืนอยู่ริมแม่น้ำ ในขณะที่ฝูงหนูพากันกระโจนลงน้ำไปเรื่อยๆ จนในไม่ช้าก็ไม่มีหนูเหลืออยู่แม้แต่ตัวเดียว และทั้งหมดก็จมน้ำตายในแม่น้ำนั้นเอง ทำให้หมู่บ้านแห่งนี้ปลอดจากการรบกวนของหนูเป็นที่เรียบร้อย

 

 

          ต่อมาหลังจากนั้นชายประหลาดก็มาทวงรางวัลจากชาวบ้าน แต่ชาวบ้านทั้งหลายเกิดความเสียดายเงินขึ้นมา จึงไม่ยอมจ่ายค่าตอบแทนให้ พร้อมกล่าวว่า "นายไม่ได้ ทำอะไรเสียหน่อย พวกหนูกระโดดลงน้ำไปเองต่างหาก" และยังขู่จะจับขังนักเป่าปี่อีกด้วย ถ้าเขายังมามัวตื๊ออยู่

          ชายประหลาดโกรธมากเขากล่าวทิ้งท้ายว่า"พวกคุณต้องรักษาสัญญา ฉันจะเอาสิ่งสำคัญที่สุดของพวกคุณไป" แต่ก็ไม่มีใครสนใจยังกลับหัวเราะเยาะเขาเสียอีก เขาหายตัวไปจากหมู่บ้านแห่งนั้น

          และในวันที่ 26 มิถุนายน 1284 ชายประหลาดพร้อมปี่กลับมายังเมืองฮาเมลินอีกครั้ง เขาเริ่มเป่าปี่บทเพลงแปลกประหลาดบทใหม่บนถนน ซึ่งคราวนี้ผู้ติดตามเสียงปี่ของเขาที่ออกจากบ้านทุกหลัง กลับกลายเป็นเด็ก เด็กๆ ที่มีอายุมากกว่า 4 ปีต่างก็มารวมกันและเดินตามเขาไปจนในไม่ช้าเด็กชายหญิงจำนวนกว่า 130 คนต่างก็เต้นรำร้องเพลงตามทำนองของเสียงปี่ออกไปนอกเมือง และจากนั้นเป็นต้นมาก็ไม่มีใครพบเห็นชายประหลาดและเหล่าเด็กๆ อีกเลย

 

          ความจริงบางตำนานมีเหตุการณ์ต่อนิดหน่อยตรงที่เมื่อชายประหลาดเป่าปี่พาเด็กๆ ออกนอกเมืองแล้ว เขาก็พาเด็กไปถึงถ้ำแห่งหนึ่ง เมื่อเด็กทุกคนเข้าไปในถ้ำหมดแล้ว ชายประหลาดก็ปิดปากถ้ำขังเด็กทั้งหมดไว้ข้างในจนตายอยู่ในถ้ำ บางแห่งกล่าวว่าเหตุการณ์ครั้งนี้มีเด็กรอดตายเพียงแค่ 2 คนเท่านั้น

          อย่างที่เห็นข้างต้นนิทานเรื่องนี้นำมาจากเรื่องจริงของเมืองฮาเมลิน (Hamelin หรือ Hameln ในภาษาเยอรมัน) ซึ่งเมืองนี้มีจริงในประวัติศาสตร์และยังอยู่จนถึงปัจจุบัน

          ซึงเมืองฮาเมลินเป็นเมืองในแคว้นเนียเดอร์แซสเซน ประเทศเยอรมนี ปัจจุบันมีประชาการประมาณ 60,000 คน เมืองนี้อยู่เลียบแม่น้ำเวเซอร์ใกล้กับถนนเมลเพนอันมีชื่อเสียง มีเป็นอาคารเก่าแก่ของเมือง นอกจากนั้นยังมีการจัดงานแสดงละครและคอนเสิร์ตทุกๆ ปีที่ Hochzeitshause  ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่พบปะสังสรรค์เมือมีงานสำคัญๆ ของชาวเมือง และที่น่าสนใจคือเมนูอาหารประจำเมืองและสถานที่ของเมืองมีความเกี่ยวข้องกับนิทานเรื่องนี้ด้วย เช่น ช็อกโกแลตรูปหนู ห้องรับประทานอาหารรูหนู เป็นต้น ซึ่งเมืองนี้มีชื่ออยู่ในความทรงจำของคนส่วนใหญ่นี้เป็นเพราะนิทานเรื่องข้างต้นนี้เอง

 

          โดยนิทานเรื่องนี้เป็นเรื่องเล่าของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงเมื่อกว่า 700 ปีก่อน ต้นแบบของมันคือเรื่องราวประหลาดในกระจกสีของโบสถ์ซึ่งถูกสร้างขึ้นประมาณปี 1300 เป็นที่น่าเสียดายที่กระจกสีนี้ปัจจุบันถูกทำลายไปแล้ว กระจกสีอันปัจจุบันเป็นบานใหม่ที่ถูกสร้างขึ้นตามบันทึกที่เหลือไว้เท่านั้นเอง

 

 

          และเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง!

          ว่ากันว่าเรื่องเด็กตายยกหมู่บ้านนี้เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นเมื่อราวๆ ศตวรรษที่ 13 หรือ 14 เนื่องจากมีภาพเด็กๆ ตายเป็นจำนวนมากประดับเป็นกระจกสีไว้อยู่ชนโบสถ์ของเมืองฮาเมลิน

 

          "วันที่ 26 มิถุนายน 1284 เมืองฮาเมลิน ประเทศเยอรมันเกิดคดีเด็กจำนวนกว่า 130 คนหายสาบสูญไปอย่างกะทันหัน"

          นี่แหละคือต้นกำเนิดของตำนานที่บันทึกปี 1440 ซึ่งเป็นบันทึกเก่าที่สุดเท่าที่เหลืออยู่ (เรื่องของหนูถูกเพิ่มเข้ามาราวศตวรรษที่ 16) ไม่มีใครทราบแน่นอนว่าเรื่องราวเป็นเช่นไร และเด็กๆ หายไปได้อย่างไร หากด้วยเหตุนี้เมืองฮาเมลินจึงมีการตั้งกฎว่าห้ามร้องเพลงเต้นรำบนถนนที่ถูกกำหนดไว้อยู่เป็นเวลานานทีเดียว

          จะอย่างไรก็ตาม เมื่อเรื่องนี้ถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษในปี 1606 โดยริชาร์ด โลรัน เวลส์เทกัน เวลาของคดีก็กลายเป็น 22 กรกฎาคม 1376 และเมื่อพี่น้องตระกูลกริมม์ทำการเรียบเรียงเรื่องนี้ในปี 1816 ก็ได้มีการเพิ่มเรื่องของเด็กขาแพลงกับเด็กตาบอดซึ่งไม่ได้หายตัวไปลงไปด้วย

 

          มีการสันนิษฐานเกี่ยวกับสาเหตุมากมาย เช่น เรื่องเด็กหายหรือตายนั้นเกิดจากโรคระบาดครั้งใหญ่ในยุโปซึ่งตรงกับปี 1376 ในฉบับของผู้เขียนอีกคน ซึ่งชายประหลาดอาจจะเป็นเครื่องหมาย

แทนยมทูตก็เป็นได้และหนูก็เป็นสาเหตุของโรคระบาดซะด้วยสิ  หรือไม่ก็ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดสงครามครูเสด ครั้งที่เรียกว่า “ครูเสดเด็ก” ที่เด็กๆ จำนวนมากมายจากดินแดนแถบนั้นถูกชักชวนโดยชายประหลาดก็คือหัวหน้ากลุ่มนักเดินทางให้ไปแสวงบุญที่เยรูซาเลมซึ่งมีเด็กจำนวนมากมายต้องล้มตายระหว่างทาง

          บางที่ก็ว่าตายเพราะสาเหตุธรรมชาติเช่น แผ่นดินถล่ม หรือน้ำท่วม หรือจะเป็นเด็กๆ พากันออกจากหมู่บ้านไปเพื่อสร้างหมู่บ้านใหม่โดยไม่ฟังคำห้ามปรามของพ่อแม่ ซึ่งในช่วงปีนี้เป็นยุคที่มีหมู่บ้านใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมาย เด็กชาวเมืองฮาเมลินอาจจะเป็นหนึ่งในนั้นก็ได้

          ส่วนเด็กๆ ที่เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุ (จนน้ำในแม่น้ำเวเซอร์หรือตายในภูเขาฮอบเปนเบิร์ก) เนื่องจากวันที่ 26 มิถุนายน 1284 เป็น "วันเซนต์โยฮันส์และเปาโล" ฮาเมลินมีธรรมเนียมจะจุดไฟบนภูเขาฮอบเปนเบิร์กซึ่งมีภูมิประเทศเป็นหน้าผาตัดข้างล่างเป็นบึงลึก

 

 

cradit : atcloud.com


Admin : Maimai
view
:
2792

Post
:
2014-07-25 13:48:48


ร่วมแสดงความคิดเห็น